วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

Elysium



หนัง Sci-fi ที่เล่าเรื่องราวในอนาคต เมื่อมนุษย์ออกไปตั้งโคโลนีบนอวกาศ ข้างในนั้นเต็มไปด้วยอภิสิทธิ์ชน ที่ไม่มีวันเจ็บป่วย เพราะการรักษาที่นั่นเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่ทว่าบนโลกนั้น กลับเต็มไปด้วยประชากรที่เหลือล้น โรคภัยไข้เจ็บมากมาย และถูกคนบนนั้นควบคุมอยู่


โดยพระเอกของเราฝันที่จะขึ้นไปบนเอลิเซียมตั้งแต่ยังเด็ก แต่โลกไม่ได้สวยอย่างนั้นเมื่อชีวิตเขาต้องต่อสู้ ผันตัวเป็นโจร เอาตัวรอดจากโลกอันโหดร้าย จนเขาได้รับรังสีที่ทำให้เขามีชีวิตต่อไปได้อีกไม่กี่วัน จึงทำให้เขาต้องวางแผนขึ้นไปบนเอลิเซียมเพื่อรักษาตัว




หนังได้บอกเล่าเรื่องราวและความไม่ยุติธรรมภายในเรื่อง เพราะการใช้ชีวิตของคนบนโลกกับเอลิเซียมนั้นต่างกันมากมาย ทั้งอาหารการกิน และเด่นชัดที่สุดคือการแพทย์ แต่ผมกลับคิดว่าจริงๆแล้วอาจจะเป็นการควบคุมประชากร เพราะหากทุกคนมีชีวิตยืนยาว ประชากรคงจะล้นโลกไปมากกว่านี้แน่ๆ


ในเรื่องฉากต่างๆทำออกมาได้สมจริงดีครับ มีหลายๆฉากที่เลือดสาดได้สะใจดีเหมือนกัน ฉากต่อสู้กันนี่ระทึกใจดีมาก และผมขอชมปืนอาก้า รุ่นโมดิฟายนะครับ สุดยอดปืนในตำนานเลย

ตัวหนังทำออกมาได้ดีเลยครับ ความระทึกใจ การสะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมกัน และความเป็นเหตุเป็นผลที่ต้องไปติดตามชมเองในเอลิเซียม โลกอนาคต ผมให้คะแนน 7/10 เลยครับผม

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

The Curious Case of Benjamin Button




เมื่อเด็กน้อยคนหนึ่งเกิดมากลับมีร่างกายที่แย่พอๆกับชายแก่อายุ 60 ปี แต่กลับค่อยๆมีความหนุ่มขึ้น ชีวิตอันแสนแปลกประหลาดนี้ได้เล่าเรื่องราวมหัศจรรย์ที่เขาพบเจอตั้งแต่เกิดจนตาย


ราวกับนาฬิกาของเขาคนนี้เดินหมุนกลับ การที่สภาพเป็นแบบนี้แน่นอนมันนำพาเขาไปสู่มุมมองอีกมุมหนึ่งในชีวิตคน


คุณลองจินตนาการดู หากคุณมีคนรัก แล้วคุณก็แก่ลงพร้อมๆกัน มันช่างเหมือนฝันจริงๆ ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพรช แต่ชายคนนี้กลับไม่ใช่อย่างนั้น เขาต้องเสียคนที่รักไปเรื่อยๆระหว่างที่ตนนั้นเด็กลง ช่างเป็นความรู้สึกที่ขมขื่นจริงๆนะครับ


เป็นภาพยนต์ที่สุดยอดเรื่องหนึ่ง ทั้งเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 13 สาขา แถมชนะถึง 3 สาขา เพียงเท่านี้คงการันตีความสุดยอดของตัวหนังเองแล้วแหละครับ

Chronicle



เมื่อเด็กหนุ่มทั้ง 3 ผู้อยากรู้อยากเห็น บังเอิญไปเจอหลุมปริศนา สิ่งที่อยู่ข้างในมอบพลังพิเศษต่างๆให้แก่พวกเขา ทั้งบินได้ ใช้พลังจิต



เป็นหนังที่พิเศษกว่าหนัง Sci-fi เรื่องอื่นหน่อยตรงที่หนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่าครับ ! โดยพลังพิเศษที่แทรกเข้ามาเป็นเพียงองค์ประกอบเสริมเนื้อเรื่องเท่านั้น

ผมชอบที่มุมมองในหนังนั้นมาจากกล้องวีดีโอ กล้องโทรศัพท์มือถือ หรือ CCTV ภายในเรื่องครับ ทำให้หนังดูเบลอๆ ไม่ชัดดี เข้ากับอารมณ์หนัง




ฉากในเรื่องก็ทำออกมาได้สมกับเป็นหนัง Sci-fi เลยแหละครับ ทั้งฉากระเบิดนู่นนี่ ทำออกมาได้น่าพอใจเลยทีเดียว

ทำภาคต่อแน่ๆครับ แต่เนื้อเรื่อง หรือตัวอย่างยังไม่ออกมาให้ชมกัน อดใจรอนะครับ หนังดราม่า Sci-fi สนุกๆอย่างนี้หายากครับ

The Class



ภาพยนต์จากฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2008 เกี่ยวกับโรงเรียนมัธยมต้นในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งในชั้นปีนี้ คุณครูจะต้องปวดหัว และเครียดมากขึ้น เพราะเด็กๆในชั้นเรียนนั้นมาจากหลากหลายชาติ แถมยังต้องคอยแก้ปัญหาจุกจิกกับเด็กเจ้าปัญหาพวกนี้เสียด้วย

ในเรื่องผมดูแล้วอินมากๆคือเวลาคุณครู ต้องมาคอยสยบเด็กๆในห้องทีละกลุ่ม ทีละคน แถมยังเปิดมุมมองที่เด็กๆอาจจะไม่เคยเห็น เวลาคุณครูเครียด ท้อแท้ หรือหมดกำลังใจจะสอนต่อ เหล่านี้เองสะท้อนออกมาได้ดีมากๆในระหว่างที่ดูครับ


เด็กแต่ละคนอื้อหือ แสบเข้าไส้เลยทีเดียว แต่ผมข้องใจอย่างเดียวคือ ตอนจบค่อนข้างตกม้าตายครับ คือปัญหาที่เกิดแล้ว จู่ๆก็ตัดจบไป คืองงๆ ดูๆอยู่อ่าว ปิดเทอม จบแล้ว ? ผมอยากจะให้ตั้งใจชมตอนกลางเรื่องครับ สนุกมากๆ

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

Diana




ภาพยนต์ที่เล่าเรื่องราวของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ที่ได้เลิกกับเจ้าฟ้าชายชาร์ล และเป็นเรื่องราวชีวิตรักของท่านหลังจากนั้น กับศัลยแพทย์หัวใจ ข่าน ซึ่งตัวหนังทำออกได้ค่อนข้างจะดราม่าหนักเหมือนกัน (แอบมีน้ำตาคลอหน่อยๆตอนจบ)

                           

สำหรับผม Naomi Watts เธอแสดงเป็นไดอาน่าได้ดีมากๆเลยครับ ที่สำคัญคือผมชอบสำเนียงของเธอมากๆๆ เวลาแสดงเธอก็แสดงออกมาได้สมบทบาทดีมากๆเลย

รวมๆผมว่าหนังทำออกมาได้ไม่เฟลเหมือนที่หลายคนบอกเท่าไหร่นะครับ จริงๆก็ยังพอมีมุมน่ารักๆให้อมยิ้มกันได้เหมือนกัน เพียงแต่อารมณ์รวมๆของหนังมันดูจะดราม่าไปหน่อยเท่านั้นเอง

                               

ผมให้ 6/10 สำหรับภาพรวมของหนังนะครับ ผมไม่ใช่คอดราม่าอะไรมาก แต่เทคะแนนให้นักแสดงเลย

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

American Horror Story : Murder House



ชื่อนี้มีแต่ความหดหู่ครับ จริงๆสำหรับผมคอหนังสยองขวัญก็ไม่ได้รู้สึกน่ากลัวอะไร แต่หนังกดดันเรามากกว่าครับ ในแต่ละตอนมันจะแสดงความโหดร้ายของบ้านที่พวกตัวละครเอกไปอยู่ โดยเดินเรื่องผ่านครอบครัวที่เกือบจะสุขสันต์พ่อ แม่ ลูกสาววัยรุ่น ที่น่ารัก แต่มันไม่ได้โลกสวยอย่างนั้น เพราะพ่อที่เป็นจิตแพทย์ดันไปนอกใจซะเอง ส่วนแม่ก็ตีโพยตีพาย ลูกก็แอบเป็นเด็กมีปัญหา ปัญหานอกใจนั่นเองที่ทำให้ครอบครัวนี้ตัดสินใจย้ายมายังบ้านหลังใหม่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้ความลับของบ้านหลังนี้เลย...


คือเรียกง่ายๆมันคือบ้านแห่งหายนะแหละครับ เพราะในเรื่องจะค่อยๆปล่อยผีออกมาวนเวียนชีวิตประจำวันของพวกเขา เช่น วัยรุ่นท่าทางโรคจิต เด็กเอ๋อและคุณแม่ข้างบ้าน คู่เกย์นักตกแต่ง สองสาวพยาบาล แม่บ้าน(แก่)และแม่บ้าน(เซ็กซี่) มนุษย์ชุดยางดำๆ ชายหน้าเละขาเป๋ เหล่านี้เกี่ยวพันกับบ้านหลังนี้ทั้งสิ้น


เอาจริงๆคือในแต่ละตอนที่ผมดู ใจนึงละอยากจะเลิกดูซะจริงเพราะมันยิ่งดูยิ่งหดหู่และสะท้อนด้านมืดของคนกับผีออกมาครับ แต่ละคนก็จะเอาแต่ใจตัวเอง อีกใจมันก็สนุกอะ แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นสเน่ห์ที่ทำให้หยุดดูไม่ได้ เพราะฉากทำออกมาดีมากครับ บ้านหลอนใช้ได้เลย ยิ่งเพลงเปิดนี่อู้หู้ว ทำออกมาน่ากลัวเลยครับ โดยทั้งหมดนี้อยากให้ดูครับ นอกจากคะแนน IMDb ที่ให้ไว้ถึง 8.3 ผมยังขอชมที่ทำออกมาได้ดราม่าผสมหลอน  และตอนนี้ในไทยหาซื้อซีซั่น 1 ได้แล้วครับ ส่วนซีซั่น 2 เห็นข่าวแว่วๆว่าจะออกปลายปีนี้ไม่ก็ต้นปี 2014 ครับผม

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

POPE JOAN



กล่าวถึงสันตะปาปาหญิงที่ไม่ได้ถูกปรากฏในบันทึก โดยเธอจำต้องใช้ชีวิตในคราบผู้ชายมาเกือบตลอดชีวิตของเธอ เพราะในยุคนั้นผู้หญิงไม่มีสิทธิเรียนหนังสือ เธอเป็นอัจฉริยะ และพยายามอย่างที่สุดเพื่อความรู้ เธอต้องต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมนี้ จนในที่สุดเธอก็ขึ้นเป็นผู้นำของคริสตจักร



ภาพยนต์เรื่องนี้ต้องบอกก่อนว่าค่อนข้างจะตึงเครียด แต่ผมกลับชอบความตึงเครียดนี้ทำให้มันดูออกมามีมนต์ขลัง โดยผมชอบตรงที่เป็นภาพยนต์แห่งการเรียกร้องสิทธิสตรี เพราะในเรื่องนั้นผู้หญิงคือทาสดีๆของผู้ชายนี่เองครับ ไม่รู้หนังสือ ต้องเชื่อฟังสามี โดยรวมเป็นหนังดราม่าที่ทำออกมาโอเคเรื่องนึง



ถึงฉากต่อสู้จะดูไม่อลังการซักเท่าไหร่ แต่ฉากเกี่ยวกับศาสนาเรียกได้ว่าสุดยอดเลยครับ มีความสวยงามมากทีเดียว นักแสดงที่เป็นโจฮันนา ตอนเด็กและผู้ใหญ่นั้นเรียกได้ว่าคล้ายกันมาก จนตอนผมดูแทบจะงงว่าเปลี่ยนตอนไหน

ถึงสุดท้ายถ้าหากคุณชอบดูภาพยนต์ประวัติศาสตร์ เรื่องนี้ผมก็นับว่าทำออกมาได้ดีพอสมควร คะแนนที่ให้อาจจะไม่เต็มเพราะผมเชื่อว่ามันทำได้ดีกว่านี้ครับ

the BiG BANG THEORY



หากจะพูดถึงซิทคอมสนุกๆ ฮาๆ แล้วคงจะพลาดไปไม่ได้กับ The Big Bang Theory หรือในชื่อไทย ทฤษฏีวุ่นหัวใจ ที่มีคะแนน IMDb สูงถึง 8.5 !!

โดยตอนนี้ดำเนินไปถึง 6 ซีซั่นแล้วด้วยครับ (กำลังจะมีซีซั่นที่ 7 ในสหรัฐอเมริกา) ซึ่งตอนนี้ของไทยสามารถหาซื้อมาชมได้ถึงซีซั่นที่ 6 แล้วครับ

โดยซิทคอมเรื่องนี้จะดำเนินเนื้อเรื่องง่ายๆ เพียง 5 ตัวเท่านั้น (ยังมีเพิ่มมาอีกในซีซั่นหลัง)

คือ เชลดอน คูเปอร์(ขวา) และ เลนเนิร์ด ฮอฟสแตทเตอร์(ซ้าย) สองคนนี้เป็นเนิร์ดเพื่อนรักรูมเมทกัน โดยเชลดอนนั้นเป็นสุดยอดด็อกเตอร์อัจฉริยะ (บ้า) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฏี เขามีเหตุผลพอๆกับที่ทำอะไรเกินเหตุ รวมถึงเป็นแฟนคลับของสป็อคจากสตาร์เทคอย่างแท้จริง และเลนเนิร์ดเป็นนักทดลองทางฟิสิกส์ ชายหนุ่มสุดเนิร์ดที่พยายามจะหาสาวมาเป็นแฟน แต่ยังไม่วายวุ่นวายกับแก๊งเนิร์ด



ราเจซ คูธาพาลี(ซ้าย) และ ฮาเวิร์ด วอลโลวิซ(ขวา) โดยราเจซ หรือราจ นั้นเป็นหนุ่มอินเดียที่หลงหลักชีวิตในโลกเสรีและจะคุยกับผู้หญิงไม่ได้หากไม่มีแอลกอฮอล์ และฮาเวิร์ด หนุ่มวิศวะกรจาก MIT ที่อายุใกล้30 แต่ยังอาศัยอยู่ในบ้านแม่ ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักของเลนเนิร์ด และเชลดอน




และสุดท้าย เพนนี สาวสวยห้องตรงข้ามของเชลดอนและเลนเนิร์ด โดยเธอมีความฝันเป็นดารา แต่ยังไม่ถึงฝันเพราะปัจจุบันเป็นได้แค่สาวเสิร์ฟในร้านอาหารประจำของแก๊งนี้ เป็นสุดยอดนักรับมือเชลดอน และยังเป็นหวานใจของเลนเนิร์ดอีกด้วย



และอีก2คนที่มีความสำคัญในช่วงหลัง
เอมี(ซ้าย) และเบอร์นาเดท(ขวา) โดยเอมีนั้นเป็นแฟนสาวของเชลดอน และตีซี้เป็นเพื่อนสนิทของเพนนี และเบอร์นาเดทเป็นเพื่อนที่ทำงานของเพนนี รวมถึงเป็นแฟนและภรรยาของฮาเวิร์ด ซึ่งทั้งคู่เป็นแก๊งสาวซ่าร่วมกับเพนนี


และถ้าหากคุณเป็นแฟนของสตาร์เทค และสตาร์วอร์สแล้วด้วยเรื่องนี้จะยิ่งที่ให้คุณขำกลิ้ง เพราะจะมีมุขเกี่ยวกับ2เรื่องนี้ปรากฏในเรื่องมากมาย และยังมีการล้อเลียนซุปเปอร์ฮีโร่ต่างๆมากมาย ทั้งยังมีของเล่นของสะสม รวมถึงนักแสดงจากสตาร์เทคปรากฏออกมาให้ชม รวมถึงนักเขียนคอมมิคด้วย

โดยส่วนตัวผมเป็นเทรคกี้(แฟนคลับ Star Trek) และแฟนซุปเปอร์ฮีโร่ทำให้ผมเอนจอยกับซิทคอมนี้เป็นอย่างมาก แต่ก็แค่ส่วนนึงเพราะมุขฮาๆ ที่จะปรากฏต่อสายตาคุณนั้นจะเป็นอะไรที่ไม่ต้องเข้าใจแต่คุณก็ขำจนท้องแข็งได้ เพราะพวกแก๊งเนิร์ดพวกนี้จะโชว์ความเจ๋งของพวกเขาออกมา

ตอนนี้ผมยังเพิ่งดูจบถึงซีซั่นที่ 5 เพราะซีซั่นที่ 6 เพิ่งจะออกเมื่อต้นเดือนนี้เอง แต่ไม่เกินสิ้นเดือนผมคงไปจัดมาชมไม่ให้พลาดแน่ๆ ฮ่าฮ่า

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

Riddick 3



ภาคต่อสำหรับ Riddick ซึ่งตอนที่ผมดูนั้น ภาคแรกยังเด็กมาก (ฮา) ส่วนภาคสองก็จำไม่ได้เช่นกัน เศร้าเหลือร้าย แต่ผมก็ตัดสินใจตีตั๋วหนังเรื่องนี้เข้าไปชม

โดยหนังเปิดมาก็ช่วยเกริ่นนำ สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูภาคก่อนๆ หรือลืมไปบ้างแล้ว และค่อยๆขยายปมด้วยตัวเองไปจนเกือบจะกลางเรื่อง ถึงจะเปิดตัวพวกนึกล่าฆ่าหัว


ผมรู้สึกชอบที่หนังเล่าเรื่องของริดดิคก่อนเพราะได้ทวนความจำ และดูวิธีการเอาตัวรอดจากดาวพิลึกนี่ พร้อมกับที่มาของหมาต่างดาวคู่ใจ และความเก่งสุดขั้วของริดดิค ที่พี่แกเล่นปราบได้ทั้งดาว แถมพ่วงด้วยนักล่าฆ่าหัวอีก 2-3 คน ก่อนจะช่วยกันหาทางออกจากดาว


โดยรวมของหนังคือการเล่าเรื่องริดดิคใหม่ (ดูขลังและเป็นตำนานดี) สำหรับฉากต่างๆนั้น ก็ทำออกมาได้ดิบเถื่อนสมกับเป็นดาวสุดอันตราย แถมพ่วงกับมุขตลกเล็กๆน้อยๆ ที่ใส่ลงไปทำให้ความระทึกใจค่อยๆคลาย แล้วกระชากกลับไประทึกใจใหม่

สุดท้ายก็คือหนังค่อนข้างจะทำออกมาให้เดาง่าย และไม่มีปมอะไรให้คิดมากนัก เพียงแต่ฉากต่อสู้และการเอาตัวรอดของริดดิคทำออกมาได้ดีพอสมควร บวกกับความเก่ง(เวอร์) ที่ทำให้รู้ว่าไม่มีอะไรมาหยุดพี่แกได้

คะแนนรวมผมให้ 6.5/10

สำหรับใครที่ไม่เคยดูภาคก่อนๆหรือลืมไปบ้างก็ไม่ต้องกังวลครับ หนังจะเล่าให้เราอยู่บ้างแล้ว แต่คงจะมีจุดที่สงสัยอยู่นิดหน่อย

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

White House Down


นี่คงเป็นหนังบู๊แหลกแหกประตูทำเนียบขาวสำหรับคุณพ่อและลูกสาวเลยทีเดียว เพราะนอกจากการก่อการร้ายแล้ว พ่อลูก Cale ยังเป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอีกด้วย โดยเนื้อเรื่องหลักๆคือ ประธานาธิบดี James Sawyer ที่ท่านดันไปยุ่งเกี่ยวกับตะวันออกกลาง แล้วดันมีปมกับคนในแวดวงการเมืองของท่านเอง ส่วน คุณพ่อ John ที่กำลังจะสมัครงานได้พาลูกสาว Emily เข้ามาทำเนียบขาวด้วย

ด้านฉากและเอฟเฟคต่างๆผมชอบมากกว่า Olympus Has Fallen นะ คือจะได้เห็นเหตุการณ์รอบๆทำเนียบขาวไม่ใช่แค่ขลุกกันอยู่ข้างในนั้น แถมอาวุธ รถถัง เครื่องบิน นั้น White House Down จัดเต็มกว่าพอสมควร (รู้สึกจะลงทุนไปเยอะกว่านา ^__^)


ผมชอบ White House Down ตรงที่ประธานาธิบดีท่านมีอุมดการณ์มากพอๆกับการปล่อยมุขเล็กๆน้อยๆ เรียกรอยยิ้มไปได้ระหว่างนั้น แต่ต้องขอติที่พวกผู้ก่อการร้ายนั้นดูจะไม่ไหวเอาซะเลย ถ้าเทียบกับ Olympus Has Fallen นะครับ เพราะค่อนข้างจะดูกระจอก แถมเหตุจูงใจที่ก่อการร้ายก็ดูไม่มีน้ำหนักเลยถ้าเทียบกัน


ต้องขอยอมรับเลยว่าหนังเรื่องนี้เรียกน้ำตาผมไปได้เลยทีเดียว ด้วยฉากที่หนูน้อย Emily โบกธงเพื่อช่วยคุณพ่อและประธานาธิบดี

สรุปโดยภาพรวม เนื้อหาของเรื่อง White House Down นั้นยังเป็นรอง Olympus Has Fallen แต่ฉากยิงต่อสู้กัน บวกกับความซาบซึ้งในรายละเอียดของตัวละคร ผมขอชื่นชม White House Down นะครับ ทำออกมาได้สนุกเลย

คะแนนรวมผมให้ 7/10

ผมอยากแนะนำให้คนที่อยากดูหนังบู๊ฉากอลังการ มีรอยยิ้มเล็กๆบวกน้ำตาเล็กน้อย (ฮา) ขอแนะนำWhite House Down วินาทียึดโลกครับ